ถ้าการไปเที่ยวคือการเปลี่ยนบรรยากาศ แบบนี้ก็ไม่เกี่ยงว่าที่เที่ยวจะใกล้หรือไกลแค่ไหน ที่ท่องเที่ยวชื่อดังรุ่นเก่าอย่าง ท่าฉลอม ที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ จึงกลายเป็นจุดหมายของ Sineha Bangkok ที่จะพาทุกคนไปย้อนบรรยากาศที่แค่เอ่ยถึง บทเพลงดังในอดีตก็แว่วมาให้ได้ยินในบัดดล
“ท่าฉลอม กับ มหาชัย จะคิดทำไมว่าไกล” บทเพลงจากผลงานการประพันธ์ของ ชาลี อินทรวิจิตร ที่มีตั้งแต่ปี 2504 ยุคเดียวกับผู้ใหญ่ลีเลยทีเดียว ย้ำให้เราไม่ลังเลที่จะตรงไปท่าฉลอมในวันหยุด ยิ่งได้เสียงร้องของ ชรินทร์ นันทนาคร คลออยู่ในหูด้วยแล้ว ก็แทบจะเห็นภาพบรรยากาศลอยมาเลย
นอกจากบันทึกท่าฉลอมในเพลงดังจากอดีต ถ้าถามว่าเสน่ห์ของท่าฉลอมอยู่ที่ไหน เอาจริง ๆ คือหาคำตอบได้เยอะมาก เพราะนอกจากเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อเสียงที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯมาก ๆ แล้ว ยังมีทั้งสถานที่ไหว้พระ ล่องเรือ มีร้านอาหารอร่อยชื่อดังให้ตามรอย ของกินของฝากมากมาย หรือแม้กระทั่งสตรีทอาร์ตเก๋ ๆ องค์ประกอบของการท่องเที่ยวยุคใหม่ เรียกว่า มีครบมาก ๆ
ที่สำคัญ อย่าลืม Sineha Bangkok พาไปเมื่อไร เที่ยวกันได้แบบชิล ๆ ไม่เน้นเหนื่อย
มาเริ่มต้นไหว้พระให้เป็นศิริมงคลกันก่อน ที่ วัดแหลมสุวรรณาราม เดิมชื่อว่า “วัดหัวบ้าน” ตั้งอยู่ต้นถนนถวาย วันนี้แก่แค่ไหนไม่มีบันทึกปีสร้าง แต่พบบันทึกเกี่ยวกับวัดนี้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 จุดเด่นของวัดอยู่ที่ อุโบสถไม้เก่าแก่และสวยงามด้วยศิลปะจีนผสมไทยอย่างลงตัว บนอาคารแปดเหลี่ยมมีความกว้างหน้าตัก 9 เมตร ถ้ารวมฐานจะเป็น 12 เมตร สูง 21 เมตร รวมฐานเป็น 24 เมตร ฝั่งที่ติดแม่น้ำท่าจีน เป็นที่ประดิษฐาน สมเด็จองค์พระปฐมพระพุทธสิขีจักรพรรดิมุนีสัมพุทธชยันตรีศรีสาคร ในอิริยาบถประทับขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางคว่ำบนพระชานุ ทรงเครื่องต้นอย่างพระมหากษัตริย์ เป็นสมเด็จองค์พระปฐมองค์ที่ 5 ของประเทศ จากทั้งหมด 9 องค์ทั่วประเทศ
เสร็จจากเที่ยววัด เดินออกไปนิดจะเจอ สถานีรถไฟบ้านแหลม ที่อยู่ติดวัดเป็นสถานีปลายทาง หรือต้นทางที่จะวิ่งไปตลาดร่มหุบ ที่อัมพวา สมุทรสงคราม ถึงระยะทางจะไม่ไกล แต่รถไฟไทยจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง เอ๊ะ…หรือจะเป็นเพราะรถไฟสายบ้านแหลมมีอายุกว่า 100 ปี เดินรถครั้งแรกมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นสายรถไฟเอกเทศ เพราะไม่เชื่อมต่อกับใครเลย แถมเก๋ตรงอยู่ติดริมน้ำท่าจีน
ขอลีลาอีกนิด ก่อนเดินเที่ยวชมเราแวะตามรอย ร้าน แดงผัดไทย เจ้าดังกันก่อน เพราะร้านนี้คนเยอะคิวนาน ไปกินตั้งแต่ยังไม่เที่ยงน่าจะคนน้อย แต่…. ยังไงก็รอคิวอยู่ดี มาถึงถิ่นแล้วยังไงก็ต้องลอง ยืนในร่มเย็น ๆ รอคิวแล้วค่อยสั่ง ทุกอย่างจะได้ไวสุด ถ้าไม่สั่งพิเศษ แต่ถ้าอยากเพิ่มเติมใส่โน้น นี่ นั่น รับรองช้าชัวร์
เอาเป็นว่า แค่ผัดไทย ใส่ไข่กุ้งแห้งตัวโตหน่อยมาเสิร์ฟก็หน้าตาดีอยู่ รสชาติกลมกล่อม แต่ถ้าใครไม่ชอบหวาน อาจจะติว่าหวานนำไปหน่อย ปรุงเพิ่มเอาละกัน โดยรวมก็ถูกปากคณะเราที่ไปชิมอยู่ อ่อ! แล้วอย่าลืมหา เกี๊ยวปลาท่าฉลอม กินกันด้วยนะ มีขายทั่วเลย หาไม่ยาก มาถึงถิ่นแล้วไม่ควรพลาดชิมของดังประจำท้องถิ่น
ท้องอิ่มแล้วแวะไปเดินเที่ยว ท่าฉลอมกัน เริ่มต้นแวะไปท่าเรือข้ามฟากไปมหาชัยก่อน จุดเริ่มต้นตำนานเพลง “ท่าฉลอมกับมหาชัย” มาให้เห็นกับตาแล้วจะรู้ทำไมสถานที่สองแห่งนี้ไม่ไกลกัน แถมห่างไม่เกินสายตาแค่ข้ามฟากแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว
จุดน่าสนใจอยู่บริเวณซอยท่าเรือ ที่เต็มไปด้วยร้านขายอาหารทะเลแห้งขายเต็มสองข้างทาง ราคาไม่แพง เวลาเดินถ้ายั้งไม่อยู่รับรองได้หอบหิ้วกันจนนิ้วล็อก
เรือข้ามฟากท่าฉลอม-มหาชัย ตรงนี้ สามารถเอามอเตอร์ไซต์ข้ามไปได้ ใครมาแล้วอยากข้ามไปเที่ยวฝั่งมหาชัยก็ลองได้เลย แต่เราขอหยุดแค่ฝั่งท่าฉลอม เพราะจะกลับไปล่า street art แหล่งท่องเที่ยวที่หลายเมืองเก่านิยมสร้างขึ้นมาเป็นจุดขายใหม่ในยุคนี้ ใครไม่อยากเดินต่อ ลองถามบรรดาลุง น้า อา คนปั่นสามล้อแถวนั้นดู จะได้รับคำแนะนำที่ดีมาก เหมือนลุงที่แนะนำที่เที่ยวให้ Sinaha Bangkok แบบนี้จ้างลุงปั่นพาเที่ยวช่วยกันกระจายรายได้ดีกว่า
ประวัติท่าฉลอม สุขาภิบาลแห่งแรกของไทย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้ตั้ง ท่าฉลอม เป็นสุขาภิบาลแห่งแรกของประเทศไทย และทรงเสด็จพระราชดำเนินมาเปิดถนนเส้นนี้ เมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ.2448 พร้อมพระราชทานนามว่า “ถนนถวาย” และเกิดประเพณีการจัดงาน วันท้องถิ่นไทย ขึ้นบนถนนเส้นนี้ในวันที่ 18 มีนาคมของทุกปี
ตามล่า Street Art ย้อนรอยสู่อดีตท่าฉลอม
เมื่อไม่นานมานี้ ท่าฉลอม ได้มีโครงการ “ถวาย Street Art ทุกบ้านคือสีสัน” สร้างจุดเช็คอินใหม่แก่ ท่าฉลอม ชวนนักท่องเที่ยว มาถ่ายรูป “สตรีทอาร์ต” มากมายที่ซ่อนอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในท่าฉลอม มีทั้งงานศิลปะบนกำแพง (Graffiti) ทั้งจากนักศึกษา ภาคเอกชน รวมถึงศิลปินชื่อดัง จำนวน 10 จุด และอีกหนึ่งสีสัน คือ งานศิลปะบนฝาท่อระบายน้ำ (Manhole Cover Art) บนถนนถวาย แบบในญี่ปุ่นเลย ในที่สุดเมืองไทยก็มีบ้างแล้วใครตัวจริงเก็บให้ครบ 9 จุด ถ่ายรูปมาฝากด้วยนะ ส่วนเราถ่ายมาฝากได้ 3 ฝาท่อสวย ๆ ^_^
กว่าจะเดินจนหนำใจก็บ่ายคล้อย เราไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมที่ อุทยานพระโพธิสัตว์กวนอิม อยู่ในตัวเมืองตรงข้ามวัดช่องลมเลย สร้างขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองพระเกียรติในวาระที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่รัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์ครบรอบ 50 ปี ใน พ.ศ. 2539 รูปหล่อพระโพธิสัตว์กวนอิมปางเมตตา หล่อจากทองเหลืองปิดด้วยทางคำเปลวขนาดใหญ่ องค์เจ้าแม่กวนอิมสูง 9.98 เมตร หล่อด้วยโลหะแล้วทาสีสวยงามมากพระหัตถ์ขวาเทน้ำจากคนโทเป็นน้ำมนต์ ประทับอยู่บนฐานดอกบัวมีมังกรโอบโดยรอบอยู่บนภูเขาจำลอง สูง 8 เมตร
จากนั้น เดินข้ามถนนมาจะเป็น วัดช่องลม หรือ วัดสุทธิวาตวราราม พระอารามหลวงแห่งนี้นับเป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดสมุทรสาครที่มีอายุเกือบ 200 ปี ในสมัยก่อนชาวบ้านเรียกว่า “วัดท้ายบ้าน” เห็นจะเป็นเพราะวัดอยู่สุดหมู่บ้านจึงเรียกเช่นนั้น ก่อนจะเรียก “วัดช่องลม” กันในภายหลัง
ด้านหน้าวัดช่องลม หันสู่ทิศใต้ตรงกับปากน้ำท่าจีนมองเห็นทัศนียภาพปากอ่าวไทย ส่วนทางด้านหลังวัดหันหลังสู่แม่น้ำท่าจีนเช่นกัน กล่าวคือวัดช่องลมตั้งตรงคอคอดปากแม่น้ำท่าจีน มีหลวงพ่อหินแดง ประดิษฐานในโบสถ์ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดใหญ่ มีพุทธลักษณะแบบอยุธยาตอนปลาย ทำด้วยศิลาแดงทั้งองค์ มีลักษณะพิเศษคือพระหัตถ์ข้างซ้ายมีหกนิ้ว จึงเรียกว่า พระ 11 นิ้ว หลวงปู่แก้วอดีตเจ้าอาวาสวัดช่องลม ได้อัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้มาจากที่อื่น แต่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่า เป็นที่ใด
พระเทพสาครมุนี (หลวงปู่แก้ว) อดีตเจ้าอาวาสวัดช่องลมอดีตและอดีตเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร เมื่อท่านมรณภาพ จึงนำสังขารบรรจุไว้ในโลงทองอย่างสวยงาม พร้อมทั้งหล่อรูปเหมือนของท่านในท่านั่งสมาธิ ประดิษฐานไว้ภายในวิหารหลวงปู่แก้ว ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับโบสถ์ เพื่อให้ประชาชนได้เข้ากราบนมัสการและระลึกถึง
อีกหนึ่งเรื่องแปลกคือภายในวิหารหลวงปู่แก้ว มีนกแอ่นมาอาศัยทำรังตามลวดลายแกะสลักเหนือผนังด้านหลัง และช่องเหนือฝ้าเพดาน ราว 2,000 ตัว เดิมอยู่ในโบสถ์ใกล้กับวิหาร หลวงปู่แก้วให้อาศัยอยู่ด้วยความเมตตา แต่ไม่อนุญาตให้เก็บรังนกไปขาย เว้นแต่รังนกที่ตกมาแล้ว พระ เณร สามารถนำไปฉันได้ ภายหลังหลวงปู่แก้วมรณภาพ และวิหารหลังนี้สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2532 ทางวัดจึงวางอุบายย้ายนกเข้ามาในวิหารที่ประดิษฐานสังขารหลวงปู่แก้ว ซึ่งนกก็เข้ามาอาศัยอยู่โดยง่าย ชาวบ้านเชื่อว่า นกแอ่นเข้ามาอยู่เพราะบารมีของหลวงปู่แก้ว
จบ One Day Trip แบบชิล ๆ ที่ท่าฉลอม (แต่รอบนี้แอบเหนื่อยเพราะที่เที่ยวเยอะ ^_^) แต่ก็หวังว่าข้อมูลจะช่วยให้ทุกคนอ่านแล้วอยากไปเที่ยวท่าฉลอมกันบ้าง
แล้วติดตามกันต่อนะว่า Sineha Bangkok จะพาไปเที่ยวที่ไหนอีก