วันหยุดเสาร์อาทิตย์ใหนว่างๆ ขับรถไปเที่ยวเมืองกาญจนบุรีกันค่ะ คิดปุ๊ปลงมือหาที่พักกันค่ะ ครั้งนี้ขอจองที่พักที่อยากไปมานานละ X2 River Kwai เข้าไปดูใน Traveloka แล้วก็เจอราคาที่พอใจรับได้ก็จองสิ ใครอยากพักที่นี่ลองดูราคาที่ Travloka ตาม link นี้ได้เลย
ได้ที่พักแล้วเราก็ไปเที่ยวกัน เราออกเดินทางกันเช้าตรู่วันเสาร์ ใช้ถนนเพชรเกษม ตรงยาวผ่านสวนสามพรานผ่านนครปฐม จนถึงอำเภอบ้านโป่ง เราแวะกินไก่ย่างบางตาล ชื่อดัง ซึ่งอร่อยสมกับเป็น OTOP จริงๆ
บ้านโป่งเราตั้งใจจะแวะเที่ยวในขากลับ อิ่มแล้วเราก็เลยรีบเดินทางต่อ ผ่านอำเภอท่ามะกา ท่าเรือ ท่าม่วง ได้เวลา กาแฟ พอดี กับเป้าหมายแรกที่จะมาคือ มีนาคาเฟ่ ที่คนมาเช็คอินมากมาย ตามหน้าฟีดเฟซบุก เราเลยต้องขอมาดูด้วยตา พอมาถึง ไม่มีนาข้าวสีเขียวๆ เพราะเกี่ยวข้าวไปแล้ว แต่เราได้วิว สีทองและฉากหลังเป็นวัดถ้ำเสือแทน ซึ่งก็สวยไปอีกแบบ ที่สำคัญ กาแฟ และ ขนมอร่อย ราคาไม่แรง มิน่าคนถึงมาไม่ขาดสาย จนตอนนี้ มีร้านขึ้นข้างๆ มีนา คาเฟ่ อีก 2-3 ร้านแล้ว ใครผ่านมาเมืองกาญฯ อย่าลืมแวะนะคะ
จากร้านมีนาคาเฟ่มาไม่นาน เราก็ถึงที่พักของเรา X2 River Kwai Resort (คอสทู ริเวอร์แคว รีสอร์ต) ที่พักเก๋มาก ถึงมากที่สุด ไม่ใหญ่ไม่เล็ก มุมถ่ายรูปเยอะมาก
เชคอินเรียบร้อยแล้ว ก็ขอไปเที่ยวข้างนอกก่อน มีเป้าหมาย 3 จุดที่อยากเชคอิน ไปค่ะ เราไปเที่ยว ช่องเขาขาดกันก่อนเลย เรามาทำรู้จักช่องเขาขาดกันซักหน่อยดีกว่า
ช่องเขาขาด หรือ ช่องไฟนรก เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางรถไฟสายไทย-พม่า (ทางรถไฟสายมรณะ) ตลอดเส้นทางรถไฟสายไทย-พม่า มีหลายจุดที่มีเนินหิน ภูเขา หน้าผา หรือหุบเหว ขวางอยู่จึงต้องขุดให้เป็นช่องเพื่อที่รถไฟสามารถวิ่งผ่านไปได้ ซึ่งที่ช่องเขาขาด หรือ ช่องไฟนรก เป็นจุดที่ใหญ่ที่สุดบนเส้นทางนี้ การขุดเจาะช่องเขาขาดเริ่มในเดือนเมษายนปี พ.ศ. 2486 ปรากฏว่างานล่าช้ากว่ากำหนดจึงมีช่วงที่เร่งงานซึ่งแรงงานแต่ละกะต้องทำงานถึง 18 ชั่วโมง โดยงานส่วนใหญ่ล้วนใช้แรงคนทั้งสิ้น เช่นการสกัดภูเขาด้วยมือ ซึ่งเป็นการทำงานที่ทารุณยิ่ง ต้องปีนลงไปสกัดในช่องเขาซึ่งบางช่วงสูงถึง 11 เมตร และแทบไม่มีอากาศหายใจท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวเชลยศึกและกรรมกรที่ช่องเขาขาดต้องทำงานตอนกลางคืนด้วยแสงไฟจากคบเพลิงและกองเพลิงทำให้สะท้อนเห็นเงาของเชลยศึกและผู้คุมวูบวาบบนผนัง ทำให้ที่นี่ได้รับการขนานนามว่า “ช่องไฟนรก” หรือ Hellfire Pass ในภาษาอังกฤษ ปัจจุบันที่แห่งนี้กลายเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลภาพถ่าย ข้าวของเครื่องใช้ระหว่างการสร้างทางรถไฟสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยรัฐบาลออสเตรเลีย ได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ขึ้นได้อย่างเป็นระเบียบสวยงามเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการจัดสรร ปรับปรุงดีมาก ทางเดินสบาย สวยงามจากแต่เดิมเคยเป็นพื้นที่ที่นึกถึงแต่เหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว พิพิธภัณฑสถานแห่งความทรงจำนี้ ตั้งอยู่บริเวณ กม. 64–65 บนทางหลวง 323 สายกาญจนบุรี-ไทรโยค-ทองผาภูมิ แวะมาเที่ยวกันได้นะคะ ต่อไปเราแวะไป เที่ยว ทางรถไฟสายมรณะ กันต่อค่ะ
ทางรถไฟสายมรณะ สายนี้สร้างขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยใช้แรงงานเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรและกรรมกรชาวเอเชียที่กองทัพญี่ปุ่นเกณฑ์มาสร้าง เพื่อใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า ปัจจุบันเส้นทางนี้ไปสุดปลายทางที่บ้านท่าเสาหรือสถานีน้ำตก ระยะทางจากสถานีกาญจนบุรีถึงสถานีน้ำตกเป็นระยะทางประมาณ 77 กิโลเมตร การรถไฟแห่งประเทศไทยเปิดเดินรถบนเส้นทางนี้ทุกวันและจัดรถไฟขบวนพิเศษสายกรุงเทพฯ – น้ำตก ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ จุดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมากคือช่วงสะพานข้ามแม่น้ำแคว และช่วงโค้งมรณะหรือถ้ำกระแซ ซึ่งเป็นสะพานโค้งเลียบแม่น้ำแควน้อยยาวประมาณ 400 เมตร ถือเป็นจุดชมวิวที่โด่งดัง และเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี เพราะถือว่าเป็นจุดที่สวยที่สุด และอันตรายที่สุดของเส้นทางรถไฟสายกรุงเทพฯ – น้ำตก หรือที่เรียกกันว่า “เส้นทางรถไฟสายมรณะ” (The Death Railway) เราถ่ายรูปกันจนจุใจ ทั้งตอนมีรถไฟ และตอนไม่มีรถไฟ แล้วก็มุ่งหน้า ไปอีกที่หมายกันคือ ต้นจามจุรียักษ์ ต้นจามจุรียักษ์ หรือต้นก้ามปูยักษ์ เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจและไม่ไกลจากตัวเมืองกาญจนบุรีมากนัก เมื่อมาถึงจะตื่นเต้น และตะลึงในความใหญ่โตของต้นไม้และกิ่งก้านสาขาสวยงามร่มรื่น ต้นจามจุรียักษ์มีอายุมากกว่า 100 ปี ขนาด 10 คนโอบรัศมีทรง พุ่มเฉลี่ย 25.87 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางร่มเงาประมาณ 51.75 เมตร ความสูงจากพิ้นดินถึงยอด 20เมตร มีพื้นที่ของพุ่มประมาณ 1 ไร่ 2 งาน 4 วา ซึ่งปัจจุบันหาชม ต้นไม้ขนาดใหญ่เช่นนี้ได้ยาก
ต้นจามจุรียักษ์ ตั้งอยู่ในกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 1 อำเภอด่านมะขามเตี้ย บ้านกสิกรรม หมู่ 5 ตำบลเกาะสำโรง ให้เข้าไปข้างใน ต้นจามจุรียักษ์จะอยู่ข้างในกรมการสัตว์ทหารบก เป็นต้นไม้มีอายุยืนยาวมากกว่า 100 ปี ขนาดของลำต้นโดยรอบประมาณ 10 คนโอบ มีเส้นรอบวงประมาณ 15 เมตร ความสูงประมาณ 20 เมตร ขึ้นเองตามธรรมชาติ แผ่ร่มเงากิ่งก้านขนาดไร่เศษ ถือเป็นอีกหนึ่งต้นจามจุรีที่มีขนาดใหญ่และหาชมได้ยากในปัจจุบัน อย่าลืมแวะมาถ่ายรูปกันนะคะ ที่ลำต้นจะมีรอยขาวๆ รอบๆลำต้น เราก็แปลกใจว่าคือรอยอะไร จนเดินวนมาเจออีกด้าน ผู้คนกำลังถูๆกันอย่างเพลิดเพลิน ได้เลขกันบ้างมั๊ยน้าาาาา จากนั้นเราก็เข้าที่พัก ไปทานอาหารเย็นที่รีสอร์ตกัน อร่อยทีเดียว อิ่มแล้วเราก็มานั่งชิว หน้าห้องจนมืดก่อนจะแยกย้ายกันไปนอนพักผ่อนสบายใจ เราตื่นกันไม่เช้ามากแล้วไป ทานอาหารเช้ากัน อาหารเช้าก็ดีงามทั้งหน้าตาและรดชาติ และโยเกิร์ตโฮมเมดที่นี่แอบถูกใจเรามาก ทานเสร็จเราก็ไปพายเรือที่ที่รีสอร์ตมีบริการ ก่อนเตรียมตัวเชคเอ้าท์กัน
เราตั้งใจแวะเข้าตัวเมืองไปกินกาแฟกันที่ Starbucks ที่เพิ่งเปิดเมื่อปลายปีที่แล้วเป็นที่แรกในเมืองกาญฯ กันค่ะ ซึ่งก็เป็นร้าน Stand alone ที่ดูสวยงาม พนักงานบอกว่าเหมือนนกกำลังกางปีก เหมือนมั๊ยคะ ลองดูกัน
จิบกาแฟเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าอำเภอบ้านโป่ง เพื่อไปกินก๋วยเตี๋ยวนางงาม แล้วแวะเที่ยว street art ที่ซ่อนตัวอยู่ในตัวเมืองกันค่ะ
ก๋วยเตี๋ยวนางงาม เป็นร้านห้องเดียวติดแอร์ที่ต้องรอคิวนะคะ คนมากินไม่ขาดสาย อร่อยสมกับที่รอเลยค่ะ คุยกับคนขาย บอกว่ารุ่นคุณยายเป็นางงามมาก่อน จนตอนนี้รุ่นที่3 แล้ว แต่ความสวย ถ่ายทอดมาจริงๆ ค่ะ สวยทั้ง รุ่น 2 รุ่น 3 สมกับเมืองคนงามจริงๆ ท้องอิ่มแล้วเราไปเดินหา street art กันค่ะ ‘สตรีทอาร์ต บ้านโป่ง’ บริเวณโรงหนังเฉลิมทองคำ จุดเริ่มต้นมาจากโครงการ 70110 : Ban Pong Urban Art Terminal 2017 เป็นโครงการพัฒนาศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยชุมชนเมืองบ้านโป่ง ดำเนินการโดยกลุ่ม AT EXCHANGE (Art Terminal EXCHANGE) ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2016 เพื่อเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนความรู้ แนวคิด และประสบการณ์ทางศิลปะ ทั้งจากศิลปินชาวไทย ชาวต่างชาติ ไปจนถึงศิลปินพื้นบ้าน
สายคูล สายฮิปสเตอร์ไม่ควรพลาด จะเที่ยววิถีไทย เที่ยวไทยเท่ หรืออะเมซิ่งไทยเท่ ก็มาเที่ยวเมืองไทยกันเถอะ เราเดินถ่ายรูปกันจนเพลินพอใจ จึงได้เดินทางกลับกรุงเทพกัน ทริป 2 วัน 1 คืน ง่ายๆ ใครๆ ก็ทำได้ อย่าลืมไปเที่ยวกันนะ ไว้จะพาไปเที่ยวกันใหม่ค้า…