เปิดโลกความรู้เรื่องหยกจากงานเสวนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ Trez Jewelry

ในโลกของอัญมณีที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและความเชื่อ “หยก” ยังคงเป็นหนึ่งในหินล้ำค่าที่ครองใจผู้คนมายาวนาน โดยเฉพาะในวัฒนธรรมจีนที่หยกไม่ได้เป็นแค่เครื่องประดับ แต่เปรียบได้กับพลังแห่งการปกป้อง ความมั่งคั่ง และการเชื่อมโยงระหว่างชีวิตและความตาย ล่าสุด Sineha Bangkok ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานเสวนา “The Journey of Jade” ที่ร้าน Trez Jewelry ซึ่งเปิดโลกความรู้เกี่ยวกับหยกตั้งแต่ประวัติศาสตร์ ความเชื่อ คุณสมบัติ ไปจนถึงวิธีดูแลอย่างถูกต้อง

หยก: ตำนานแห่งพลังศักดิ์สิทธิ์
ในอดีต หยกถูกเชื่อว่าเป็นหินศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถปกป้องผู้ครอบครองจากสิ่งชั่วร้าย และยังช่วยฟื้นฟูสุขภาพ เช่น การใช้ในศาสตร์กัวซา ปัจจุบันเราเห็นหยกไม่เพียงในรูปแบบเครื่องประดับเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและศิลปวัฒนธรรมมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในราชวงศ์จีนที่เชื่อว่าหยกสามารถนำวิญญาณไปสู่สวรรค์ และยังมีการเชื่อมโยงกับคุณธรรม 5 ประการตามคัมภีร์โบราณ ทั้งเมตตา กล้าหาญ ภูมิปัญญา ความชอบธรรม และเกียรติ



หยก Nephrite และ Jadeite ต่างกันยังไง?
ในแง่ของวิทยาศาสตร์ หยกมี 2 ประเภทหลัก คือ
Nephrite หรือหยกอ่อน มักพบในแถบแคนาดา รัสเซีย และจีนตอนเหนือ มีความแข็ง 6–6.5
Jadeite หรือหยกแข็ง ซึ่งมีความโปร่งแสงและสีสันหลากหลาย ตั้งแต่เขียว ม่วง เหลือง ชมพู ไปจนถึงดำ และถือเป็นชนิดที่มีมูลค่าสูงกว่า โดยเฉพาะหยกสีเขียวจักรพรรดิ (Imperial Green) ที่หายากและเป็นที่ต้องการมากในตลาดโลก หยกชนิดนี้พบมากในประเทศพม่า และเกิดจากกระบวนการเปลือกโลกที่ซับซ้อน


วิธีเลือกหยกที่ใช่ หยกที่แท้
4 ปัจจัยสำคัญที่ต้องรู้ก่อนซื้อหยกคือ
• สี (Color) — หยกคุณภาพสูงจะมีสีสด เนื้อแน่น และกระจายสีสม่ำเสมอ
• ความโปร่งแสง (Transparency) — ยิ่งโปร่ง ยิ่งมีมูลค่าสูง
• ความสะอาด (Clarity) — หยกที่ไม่มีรอยด่าง จุด หรือเส้นร้าวจะถือว่ามีค่ามากกว่า
• รูปทรง (Cut) — รูปแบบยอดนิยมคือทรงหลังเบี้ยและกำไลกลม ซึ่งต้องได้สัดส่วนที่สมบูรณ์แบบ



หยกแท้ VS หยกเลียนแบบ ดูยังไง?
ในวงการเครื่องประดับ มีวัสดุที่ถูกทำขึ้นให้คล้ายหยกมากมาย เช่น Amazonite, Serpentine หรือแม้แต่แก้วที่ย้อมสี การตรวจสอบว่าหยกนั้นเป็นธรรมชาติหรือไม่จึงต้องอาศัยเครื่องมือเฉพาะ เช่น เลนส์ขยาย 10 เท่า ไฟฉาย UV เครื่องวัดค่าดัชนีหักเห ฯลฯ รวมถึงการวิเคราะห์มลทินภายในเนื้อหยกซึ่งแต่ละชนิดจะแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

A-Jade, B-Jade และ C-Jade คืออะไร?
หยกไม่ได้มีแค่ “แท้” หรือ “เทียม” แต่ยังมีการปรับปรุงคุณภาพที่เรียกว่า
• A-Jade: ธรรมชาติ 100%
• B-Jade: ผ่านกระบวนการฟอกกรดและอุดด้วยเรซิ่น
• C-Jade: หยกที่ผ่านการย้อมสี
ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำให้เลือก A-Jade หากต้องการหยกที่คงคุณค่าในระยะยาว


หยกไม่ใช่แค่สวย แต่ควรรู้วิธีดูแล
การดูแลหยกที่ดีเริ่มจากการสวมใส่อย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงสารเคมีและกิจกรรมที่อาจทำให้เกิดรอยหรือแตกหัก หลังใช้งานควรล้างด้วยน้ำสบู่อ่อน ๆ แล้วเช็ดให้แห้ง และจัดเก็บแยกชิ้นเพื่อป้องกันการกระแทก



Sineha Bangkok ขอย้ำว่า หยกไม่ใช่แค่อัญมณี แต่คือ “เรื่องเล่าแห่งเวลา” ที่เชื่อมโยงผู้คน วัฒนธรรม และจิตวิญญาณเข้าไว้ด้วยกัน หากใครสนใจหยกไม่ว่าจะเพื่อความงาม ความเชื่อ หรือการลงทุน ลองแวะไปพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญที่ Trez Jewelry ได้เลยค่ะ เพราะที่นั่นไม่ได้มีแค่เครื่องประดับหยกสวย ๆ เท่านั้น แต่ยังมีความรู้ที่ทำให้คุณรักหยกได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ติดตามเรื่องราวไลฟ์สไตล์ที่มีรสนิยมของคนเมืองได้ที่ www.sinehabangkok.com