เที่ยวจอร์แดนอย่างฟิน ปักหมุด 6 จุดเช็กอินต้องห้ามพลาด!

Mount Nebo – Petra – Wadirum – Red Sea – Dead Sea – Jerash

Sineha Bangkok ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่โดนภาพของเมืองโบราณนครเพตรา ดึงดูดให้มาเที่ยว ประเทศจอร์แดน (Jordan) ก็เมื่อได้มาแล้วเลยเอาข้อมูลมาเผื่อแผ่ต่อให้คนที่กำลังจะไปเที่ยวมาฝากกันหน่อยว่า 6 จุดที่เที่ยวไฮท์ไลท์ห้ามพลาดของ ประเทศจอร์แดน คือที่ไหนบ้าง

ขอเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยคร่าว ๆ เป็นข้อมูลสั้น ๆ ก่อน ประเทศจอร์แดน ไปเที่ยวแบบขอ Visa on Arrival ได้ที่สนามบินปลายทาง อยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน (ค่าธรรมเนียม 40 ดีนาร์จอร์แดน) เที่ยวเองก็ได้ หรือไปทัวร์ก็ยิ่งง่าย จอร์แดนเป็นประเทศไม่ใหญ่ และปลอดภัย แม้รอบบ้านจะมีแต่ประเทศที่มีปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง อย่าง อิสราเอล อิรัก ซีเรีย และปาเลสไตน์ แต่จอร์แดนเป็นประเทศที่วางตัวเป็นกลางทางการเมือง

ประเทศจอร์แดนเวลาท้องถิ่นช้ากว่าไทย 4 ชั่วโมง เป็นประเทศในแถบอาหรับ ที่มีฝนตกเพียง 20% ต่อปี แต่ใครจะคิด ทริปนี้ Sineha Bangkok เจอฝนหนักสุดในรอบหลายปีที่เพตราจนต้องอพยพหนีน้ำท่วม เลยมีรูปในบรรยากาศแบบเปียก ๆ มาฝากกัน ฤดูท่องเที่ยวจอร์แดน ประมาณกันยายน-ตุลาคม และ มีนาคม- พฤษภาคม จะเป็นช่วงที่มีอากาศไม่ร้อนมาก ช่วงฤดูหนาว พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ อากาศเย็น ยิ่งทะเลทรายยิ่งหนาวจัด

มาเริ่มที่แรกกันเลยดีกว่า

(1.)Mount Nebo แห่งมาดาบา เมืองแห่งเรื่องราวของโมเสส (Moses) บุคคลสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของศาสนายูดา คริสต์และอิสลาม และเมืองนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องการทำโมเสก (Mosaic) ศิลปะการตกแต่งด้วยชิ้นแก้ว หิน หรือกระเบื้องชิ้นเล็ก ๆ มาตกแต่งมหาวิหาร จนมีชื่อเรียกว่า “เมืองแห่งโมเสก”

ยอดเขา Mount Nebo ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ ที่เชื่อกันว่าเป็นสถานที่สุดท้ายของโมเสสที่ ปลดปล่อยชาวยิวจากการเป็นทาสของอียิปต์ โดยตั้งมั่นพาชาวยิวกลับสู่ดินแดนแห่งพันธะสัญญาที่พระเจ้าจะมอบให้กับชาวยิว ซึ่งปัจจุบันคืออิสราเอล และไฮท์ไลท์คือ Brazen Serpent ไม้เท้าศักดิ์สิทธ์แห่งโมเสส จุดนี้สามารถมองเห็น เดดชี ทะเลแดง รวมทั้งกรุงเยรูซาเร็มได้ ในวันที่ท้องฟ้าเปิด

Tips : หากคุณไปเที่ยวช่วงปลายเดือนธันวาคม อากาศหนาวและลมแรง ควรเตรียมเสื้อกันหนาวไปให้พร้อมด้วย

(2.)Petra เมืองโบราณเพตรา นครหินแกะสลักโบราณของชาวนาบาเทียนที่ช่อนตัวในหุบเขาวาดี มูชา หรือ หุบเขาโมเสส ที่นี่นอกจากจะเป็นมรดกโลกแล้ว ยังเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ภูมิประเทศของเมืองเพตราที่ถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขาหินทราย เมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน เคยมีประชากรกว่า 30,000 คนอาศัยอยู่ เมืองเพตราหายสาบสูญไปจากโลกภายนอก หลังการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในศตวรรษที่ 7 จากนั้นเมืองเพตราก็ไม่เป็นที่รู้จักจากโลกภายนอกอีกเลย

จนมาถึงช่วงศตวรรษที่ 18 มีชาวสวิสชื่อ Johann Ludwig Burckhardt ได้เข้ามาสำรวจพื้นที่จากความช่วยเหลือของคนท้องถิ่น งานเขียนของ Johann ได้ถูกตีพิมพ์ ทำให้โลกรู้จักกับ The Lost City หรือ The Red Rose City อีกครั้ง

The Siq ไฮท์ไลท์แรกในนครเพตรา คือ ทางเดินที่ขนาบสองฝั่งด้วยหน้าผา ความมหัศจรรย์ ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากการแยกตัวของเปลือกโลก การชัดเซาะของน้ำและลมเป็นเวลานาน จนกลายเป็นตรอกเขาที่มีความสูง 100 – 200 เมตร ระหว่างทางเดินชมรูปสลักเทพเจ้าท้องถิ่นและรูปคาราวานที่กำลังเดินทางไปยังเมืองเพตราของชาวนาบาเทียน ระยะทาง 800 เมตรในช่วงแรกก็กดชัตเตอร์กันรัว ๆ แม้เราจะเจอฝนก็ตาม

เดินต่อมาอีก 1,200 เมตร ก็จะพบกับ The Treasury ไฮไลท์ของการมานครเพตรา สวยงามโดดเด่น มีความสูงกว่า 40 เมตร และมีความกว้างกว่า 28 เมตร สลักจากภูเขาหินทรายทั้งลูก เพื่อเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์ชาวนาบาเทียนพระองค์หนึ่ง เดิมเมืองเพตราเป็นจุดพักของกองคาราวานจากตอนใต้ของแหลมอาราเบีย ที่เชื่อมต่อระหว่างเอเชียกับยุโรป (สมัยเส้นทางสายไหม) รูปแบบของสิ่งปลูกสร้าง The Treasury จึงเป็นการผสมผสาสถาปัตยกรรมกรีก อียิปต์และเปอร์เชีย เข้าด้วยกัน กลายเป็นสถาปัตยกรรมแบบชาวนาบาเทียน

จาก The Treasury เดินไปร้านอาหาร 2 กิโลเมตร ที่ระหว่างทางมีเรื่องราว และประวัติศาสตร์ ทั้งหมู่สุสานราชวงศ์นาบาเทียน (The Street of Facade) ถ้ำที่อยู่ของชาวนาบาเทียน รวมถึงอัฒจันทร์โรมัน (Roman Amphitheater) ที่จุผู้เข้าชมได้ถึง 3,000 คน และมหาวิหาร (The GreatTemple) ของชาวนาบาเทียนที่ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมแบบกรีกและโรมัน

Tips : ระยะทางเดินไปกลับทั้งหมด 4 กิโลเมตร ควรใช้รองเท้าที่เดินสบาย ดูพยากรณ์อากาศและเตรียมเสื้อผ้าให้ถูก ถ้ามีฝนอย่าลืมพกเสื้อกันฝน หากจะขี่ลา หรือม้า ตกลงราคาให้เรียบร้อย และจ่ายตามที่ตกลง อย่าหลงกลการพูดจาข้อเพิ่มเพราะเป็นเทคนิดของคนรับจ้างที่นี่ขอเงินเพิ่มทุกราย

(3.)Wadirum Desert ทะเลทรายวาดิรัม ที่ถูกกล่าวขานว่าสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ไม่แปลกใจเลยที่ยูเนสโกยกให้เป็นมรดกโลก ด้วยภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยผืนทรายสีส้มอมแดงละเอียดเหมือนผงแป้งไกลสุดตา และภูเขาหินทรายผิวขรุขระขนาดยักษ์รอบทิศ จนมีอีกชื่อว่า “หุบเขาแห่งดวงจันทร์” (The Valley of the Moon) และถูกใช้ป็นที่ถ่ายทำภาพยนตร์ที่สื่อถึงดวงดาวนอกโลกบ่อย ๆ อย่าง Star Wars : The Rise of Skywalker, The Martian, ฯaฯ จนได้รับอีกฉายาว่า “ดาวอังคาร”

ความสวยงามของทะเลทรายที่นี่จริง สวยไม่เหมือนที่ไหน มีเรื่องราว ประวัติศาสตร์แทรกอยู่ตลอด อย่าง หินหน้า Sphinx ที่ธรรมชาติสรรค์สร้าง ภาพวาดโบราณที่บ่งบอกวิถีชีวิตชาวนาบาเทียน จุดที่พักของนายทหารชื่อ Lawrence แห่งอาราเบีย ผู้เป็นศูนย์รวมความเป็นหนึ่งของชาวอาหรับ ในการต่อสู้กับจักรวรรดิ ออตโตมัน แล้วอย่าลืมจิบชาร้อนๆ คู่กับของว่างในแคมป์ของชาวเบดูอิน ขี่อูฐท่องทะเลทรายแบบกองคาราวานสมัยเส้นทางสายไหมด้วยนะ

Tips : ก่อนมาเที่ยวหาข้อมูลเยอะมากว่ามาเที่ยวทะเลทรายใส่รองเท้าอะไรดี Sineha Bangkok ขอแนะนำ Camper  Brutus เป็นรองเท้าที่เพื่อนแนะนำมาอีกทีว่าให้ลองรุ่นนี้ เพราะใส่สบายมาก พื้นรองเท้าเป็น PU อัปเปอร์เป็นไนลอนรีไซเคิล น้ำหนักเบามาก เดินบนทรายสบาย ๆ คล่องตัวมาก เดินทางปกติยิ่งสบาย ไม่ต้องกลัวเปียกน้ำ หรือกลัวทรายเลอะเข้าเท้าเลย นอกจากสวยเท่แล้วคือมันดีจนอยากจะบอกต่อจริง ๆ แนะนำขั้นสุดค่ะ

(4.)Red Sea แห่งเมืองอคาบา (Aqaba) เมืองท่าและเมืองท่องเที่ยวตากอากาศสำคัญแห่งเดียวของจอร์แดน ที่มีทางออกสู่ทะเล เป็นเมืองติดทะเลแดงครอบคลุม 4ประเทศ คือจอร์แดน อิสราเอล อียิปต์ และซาอุดิอาระเบีย แวะมาชมทะเลแดง Red Sea อันโด่งดังที่ดูยังไงก็ไม่แดง ^^ แต่ก็ต้องมานะ บรรยากาศดีและยังเป็นเมืองที่อนุญาตให้มีการเปิดผับบาร์ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างอิสระด้วย

Tips : มาเมืองนี้แนะนำให้พักที่โรงแรม Kempinski Red Sea Aqaba ที่เราสามารถชมวิวแนบชิดสนิทหาดทะเลแดงได้เลย

(5.)Dead Sea หรือ ทะเลมรณะ (البَحْر المَيّت‎) เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่มีความเข้มข้นของเกลือสูงมาก อยู่ตรงเขตแดน ประเทศจอร์แดน รัฐปาเลสไตน์ และ อิสลาเอล ระดับน้ำอยู่ต่ำที่สุดของโลก และเป็นทะเลที่เค็มที่สุดแห่งหนึ่ง ปริมาณเกลือสูงถึง 30% ของปริมาณน้ำทั้งหมด เมื่อเทียบกับทะเลทั่วไปอย่างอ่าวไทยบ้านเรา ที่มีปริมาณเกลืออยู่เพียง 3% เท่านั้น ด้วยความหนาแน่นของเกลือ ทำให้เราลอยอยู่บนผืนน้ำได้ถึงแม้จะว่ายน้ำไม่เป็น

นอกจากมาลอยตัวในทะเลสาบเดดซีแล้ว อีกกิจกรรมที่พลาดไม่ได้ คือการพอกผิวทำสปาด้วยโคลนจากเดดซี ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ ที่เข้มข้นกว่าแหล่งน้ำอื่นถึง 8 เท่า เนื่องจากเป็นแหล่งน้ำปิดทึบ ไม่มีทางไหลเข้า – ออก โคลนที่นี่จึงดีที่สุดในโลก ว่ากันว่าจะช่วยปรับสมดุลในร่างกาย กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส

Tips : แนะนำที่พักที่Kempinski Hotel Ishtar Dead Sea ให้วันพักผ่อนของคุณลักชัวรี่ขึ้นมาทันที พักที่นี่นอกจากห้องพักและโรงแรมสวยงาม ยังสามารถเดินไปทะเลสาบ Dead Sea ได้เลย ไพรเวทโซนสุด ๆ อย่าลืมแวะถ่ายรูปกับต้นโอลีฟที่อยู่มานานถึง 700 ปีกันด้วยนะ

(6.)Jerash เมืองโบราณเจอราช หรือเมืองพันเสา หรือ Pompeii of Middle East สิ่งปลูกสร้างแบบโรมันใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งในตะวันออกกลาง จากเมื่อปีค.ศ. 106 จักรวรรดิโรมันได้เข้ามายึดพื้นที่แห่งนี้ (รวมถึงเมืองเพตรา) และเข้ามาปกครองและปลูกสร้างสิ่งต่าง ๆ ไว้มากมาย ที่หลงเหลือให้เราได้เห็นกันวันนี้ ได้แก่ ประตูเฮเดรียน (The Arch of Hadrian) ประตูเมืองที่สูงกว่า 11 เมตร ลานแข่งรถม้าประจำเมือง (Hippodrome) ที่จุผู้ชมได้ 15,000 คน แถมยังเป็นที่แข่งขันของนักรบ Gladiator อีกด้วย

และที่ประตูทิศใต้ (South Gate) จะพบลานอเนกประสงค์ (Oval Plaza) ที่คนสมัยก่อนใช้พบปะพูดคุยหรือค้าขาย ที่นี่เป็นจุดเชื่อมต่อสถานที่สำคัญหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นวิหารเทพอาร์ทิมิส (Artemis Temple) น้ำพุใจกลางเมือง (Nymphaeum) หรืออัฒจันทร์โรมันทิศใต้ (South Theater) ที่จุผู้ชมได้ 3,000 คน

Tips : แนะนำร้านอาหารพื้นเมืองรสดีที่ Tawaheen AI-Hawa Restaurant รสชาติอาหารพื้นเมืองที่ร้านนี้ถูกปาก Sineha Bangkok ที่สุดแล้ว แนะนำเลยค่า

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.