ก่อนที่กระเป๋าแบรนด์ดังอย่าง Freitag จะฮิตติดลมด้วยไอเดียการนำผ้าใบคลุมรถบรรทุกมาทำกระเป๋า จนโดนใจคนหัวใจกรีนทั่วโลก ถ้ายังไม่ลืม หลายคนคจำได้ว่า ลีวายส์ (Levi’s) คือแบรนด์แรกที่ใช้ไอเดียนี้จนสร้างแบรนด์ติดระดับท็อปของโลกมาแล้วมากกว่า 100 จากการเป็นแบรนด์แรกที่นำเอาเต็นท์หรือผ้าใบ มาตัดกางเกงยีนส์ เพียงแต่เหตุผลตอนนั้น เน้นเรื่องของความทนทาน ต้องการฟังก์ชั่นสำหรับกางเกงที่ต้องสมบุกสมบันเผชิญงานหนักเป็นหลัก แต่เป็นเบเนฟิตที่ตอบโจทย์อินไซท์ (Insight) ของกลุ่มผู้ใช้จนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนถึงวันนี้ ลีวายส์ ผ่านร้อนผ่านหนาว อยู่ในกระแสแฟชั่นและฟังก์ชั่นมายาวนาน ไม่เคยหายไปจากตลาด ไม่ว่าจะมีแบรนด์ฟาสต์แฟชั่น หรือแบรนด์ยีนส์ทุกระดับเกิดขึ้นมาอีกมากมายในโลกใบนี้ อะไรที่ทำให้แบรนด์ลีวายส์คงทน สืบสานต่อยอดและถ่ายทอดความรู้จักนี้มาถึงคนรุ่นปัจจุบัน ทั้งที่ผ่านมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2-3 เจเนอเรชั่น วันนี้ Sineha Bangkok จะพาไปย้อนตำนานแบรนด์ดังแบรนด์นี้กันอีกครั้งหนึ่ง

ลีวายส์เป็นแบรนด์กางเกงยีนส์ที่มีต้นกำเนิด ณ เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 1853 ซึ่งเป็นยุคขุดทอง ธุรกิจทำเหมืองเฟื่องฟู ตั้งชื่อตามผู้ผลิตคิดค้น คือ ลีวาย สเตราส์ ชาวเยอรมันที่ย้ายถิ่นไปทำงานขุดทองที่สหรัฐอเมริกา แล้วริเริ่มนำเต๊นท์หรือผ้าใบ มาตัดเป็นกางเกงและขายให้กับผู้คนที่เข้ามาขุดทำงานขุดทอง โดยเน้นประโยชน์เรื่องความทนทานเป็นหลัก ก่อนจะค่อย ๆ พัฒนารายละเอียดด้านต่าง ๆ ตามไทม์ไลน์ของแบรนด์ที่ถูกบันทึกไว้ดังนี้
• ปี 1853 ลีวาย สเตราส์ นำเต๊นท์หรือผ้าใบมาตัดเป็นกางเกงและจำหน่ายครั้งแรก
• ปี 1860 เริ่มนำหมุดมาตอกกับกางเกง

• ปี 1870 ผลิตเดนิม ยีนส์ (Denim jeans) สำหรับผู้ที่ใช้แรงงาน และเริ่มจากกางเกงโอเวอร์ออล์ล เดนิม รูปแบบ 3 กระเป๋า คือเพิ่มกระเป๋าด้านหลังขวาขึ้นมาอีก 1 ใบ
• ปี 1873 ในวันที่ 20 พฤษภาคม จดทะเบียนสิทธิบัตรครั้งแรก
• ปี 1886 ใช้รูปม้า 2 ตัวที่หันหลังให้กันแล้วดึงกางเกง เป็นสัญลักษณ์แทนเครื่องหมายการค้าเป็นครั้งแรก

• ปี 1890 เป็นครั้งแรกที่ใช้เลข 501 ที่มีที่มาจากเลขที่ส่งมอบผืนผ้าจากโรงงานมาเป็นชื่อรุ่น

• ปี 1901 มีกระเป๋าที่ติดกับตัวกางเกงครบ 5 ใบ
• ปี 1906 เกิดเหตุแผ่นดินไหว ทำให้ไฟไหม้โรงงาน
• ปี 1922 เริ่มใส่หูสำหรับร้อยสายเข็มขัดที่ขอบกางเกง และยกเลิกหมุดโลหะซ้ายขวาที่เคยใส่ตรงกระเป๋าด้านหลังด้านในออก
• ปี 1927 เป็นปีที่ได้มีการพัฒนาผ้าเดนิมตะเข็บแดงที่ช่วยสร้างตำนาน ลีวายส์ริมแดง ตลอดกาลให้กับ ลีวายส์ โดยทำขึ้นสำหรับลีวายส์ 501

• ปี 1933 เป็นปีที่มีรุ่นสุดท้ายแบบสายปรับกระดุมที่มีสายเอี๊ยม
• ปี 1937 มีการเย็บป้ายริมแดงหรือเรดแท็บ (Red Tab) กับกระเป๋ากางเกงด้านหลังข้างขวาเป็นครั้งแรก

• ปี 1944 ตัดหมุดย้ำโลหะตรงเป้าด้านหน้า และสายปรับกระชับออก พร้อมทั้งเพ้นท์สีเส้นโค้งปีกนกกระเป๋าหลังแทนการเย็บด้วยด้าย มีการเพิ่มกระดุมหน้าแบบโดนัทและกระดุมบนเป็นรูปช่อมะกอก
• ปี 1947 ถือเป็นแม่แบบของ 501 ในปัจจุบันนี้ พร้อมทั้งตัดเย็บรูปทรงสลิมให้เข้ารูปยิ่งขึ้น
• ปี 1950 เป็นปีถือว่าได้รับความสำเร็จใหญ่อีกครั้ง เมื่อดาราฮอลลีวู้ดเริ่มให้ความสนใจหันมาใส่เดนิม
• ปี 1954 เป็นครั้งแรกที่ใช้ซิปแทนกระดุม และผลิตป้ายหนังที่พิมพ์รหัส 501Z
• ปี 1955 ใช้ป้ายปะเก็น (Patch Tag) แทนป้ายหนัง และใช้คำว่า Jeans แทน Overall

• ปี 1960 ผลิตลีวายส์ สีขาว และรุ่น 505
• ปี 1971 เปลี่ยนตัวอักษร E (ตัวใหญ่) บนป้ายริมแดงเป็น e (ตัวเล็ก)
• ปี 1996 เปิดตัวลีวายส์ วินเทจ คลอทธิ่ง (Levi’s Vintage Clothing หรือ LVC) แบรนด์ย่อยของลีวายส์
• ปี 2000 ผลิตลีวายส์ เอนจีเนียร์ ยีนส์ (Levi’s Engineered Jeans)
แต่ลีวายส์ก็ยังไม่หยุดพัฒนา อย่างปี 2018 ที่ผ่านมาลีวายส์ก็ได้ปล่อยคอลเลคชั่นอย่าง Levi’s x Snoopy ทำให้ในปี 2019 ลีวายส์ก็ยกมาทั้งแก๊งค์คอลเลคชั่น Levi’s x Peanuts ที่นำเหล่าการ์ตูนสุดน่ารักขวัญใจคนทุกรุ่นทุกวัยทั้ง ชาร์ลี บราวน์ (Charlie Brown), มาร์ซี่ (Marcie), ไลนัส (Linus), ลูซี (Lucy) เปปเปอร์มินต์ แพตตี้ (Peppermint Patty)








ตำนานยาวนานของแบรนด์ลีวายส์ เริ่มเข้ามาอยู่ในใจผู้บริโภคแต่ละวัย ในยุคสมัยที่ต่างกัน แต่ที่แน่ๆ คือ แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตอกย้ำความเป็นแบรนด์ยืนหนึ่งด้วยความเป็นยีนส์ระดับตำนาน และเป็นต้นต่อที่ให้เกิดสำนวน ยีนส์ไม่เคยตาย
อีกทั้งยังทำให้วิวัฒนาการของยีนส์กับแฟชั่น ยังไปด้วยกันต่อได้ด้วยการทำตลาด และการพัฒนาสินค้ารุ่นใหม่ๆ แบบไม่เคยหยุดนิ่ง รวมทั้งกลายเป็นคนสะสมจากความเป็นแบรนด์ระดับตำนานที่มีกลุ่มสาวกเฝ้าเสาะหาติดตาม
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ผู้บริโภคอย่างเราๆ เป็นส่วนสำคัญในการหล่อเลี้ยงให้แบรนด์เติบโตมาถึงปัจจุบัน
แล้วเพื่อนๆ ลีวายส์เพราะอะไร เป็นแฟนพันธุ์แท้หรือปลื้มรุ่นไหนกันบ้าง อย่าลืมแชร์และคอมเม้นท์มาเล่าสู่กันฟังกันบ้างนะ
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพบางส่วนจาก www.levis.co.th